เราจะใช้ AI ให้ช่วยให้ทำงานผู้เชี่ยวชาญง่ายขึ้นได้อย่างไร

https://drive.google.com/file/d/1vNGwLNNsIiND1GS2Q00RRlu4cMWNyNSm/view?usp=drive_link

หัวใจสำคัญของการใช้ AI คือการรู้และเข้าใจหลักการใช้คำสั่ง หรือ Prompt ให้เหมาะสมกับงานแต่ละส่วนที่เราต้องการ เช่น ในสายงานสอน เราสามารถใช้ Gamma เพื่อช่วยจัดการสไลด์ให้เราได้ โดยสามารถสั่งการและเลือกรูปแบบที่เราต้องการเพื่อจัดทำสไลด์ได้ภายใน 1 นาที นอกจากนี้ เราสามารถนำ AI มาช่วยพัฒนาเนื้อหารายวิชาให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน / ในสายงานวิทยากรพิเศษหรืออาจารย์พิเศษ เราสามารถนำ AI มาช่วยพัฒนากิจกรรม เนื้อหาการบรรยาย รวมถึงรูปแบบการประเมินให้มีความสอดคล้องกันและกับความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ได้/ หลักในการเขียน Prompt ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน คือ ต้องมีกริยา เรื่องที่จะทำ รายละเอียดเชิงลึก และกำหนดสิ่งที่อยากได้ออกมา/ ในการเป็นที่ปรึกษา เราสามารถใช้ AI ช่วยในการสืบค้นข้อมูลรวมทั้งการวิเคราะห์แนวโน้มต่างๆ ที่สามารถนำมาเป็นช้อมูลเพื่อช่วยในการพิจารณาและตัดสินใจ ตลอดจนแนวทางในการให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาของแต่ละธุรกิจได้ สามารถดูเอกสารประกอบการอบรมได้ตามลิงค์ที่แนบมาค่ะ

เส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการ ความเหมือน ความต่างระหว่างตำราและหนังสือ

โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค  ราชบัณฑิต 

จัดโดย กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 10.00-12.00 น. จากแนวคิดท่านอาจารย์สรุปความเหมือน ความต่างระหว่างตำราและหนังสือได้ดังนี้

ตำรา

นิยาม

  • งานวิชาการที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนทั้งวิชาหรือเป็นส่วนหนึ่งของวิชา
  • เกิดจากการนำข้อค้นพบจากทฤษฎี จากงานวิจัยของผู้ขอ ความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าศึกษา
  • มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ รวบรวมและเรียบเรียง โดยมีมโนทัศน์ที่ผู้เขียนกำหนดให้เป็นแกนกลาง ซึ่งสัมพันธ์กับมโนทัศน์ย่อยอื่นอย่างเป็นระบบ
  • มีเอกภาพสัมพันธภาพและสารัตถภาพตามหลักการเขียนที่ดี
  • ใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ
  • ให้ความรู้ใหม่อันเป็นความรู้สำคัญที่มีผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของวิชานั้นๆ
  • เนื้อหาสาระของตำราต้องมีความทันสมัยเมื่อพิจารณาถึงวันที่ผู้ขอยื่นเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ
  • ผลงานทางวิชาการที่เป็น “ตำรา” นี้อาจได้รับการพัฒนาขึ้นจากเอกสารคำสอนจนถึงระดับที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ผู้อ่านอาจเป็นบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้เรียนในวิชานั้น แต่สามารถอ่านและทำความเข้าใจในสาระของตำรานั้นด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องเข้าศึกษาในวิชานั้น
  • หากผลงานทางวิชาการที่เคยเสนอเป็นเอกสารประกอบการสอนหรือเอกสารคำสอนไปแล้ว จะนำมาเสนอเป็นตำราไม่ได้ เว้นแต่จะมีการพัฒนาจนเห็นได้ชัดว่าเป็นตำรา
  • ผู้ขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการจะต้องระบุวิชาที่เกี่ยวข้องในหลักสูตรที่ใช้ตำราเล่มที่เสนอขอตำแหน่งด้วย

รูปแบบ

  • เป็นรูปเล่มที่ประกอบด้วยคำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง การอธิบายหรือการวิเคราะห์ การสรุป การอ้างอิง บรรณานุกรม และดัชนีค้นคำ ทั้งนี้ควรมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์
  • การอธิบายสาระสำคัญมีความชัดเจนโดยอาจใช้ข้อมูล แผนภาพ ตัวอย่างหรือกรณีศึกษาประกอบ

การเผยแพร่

เผยแพร่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้

  • การเผยแพร่ด้วยวิธีการพิมพ์หรือ
  • การเผยแพร่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น การเผยแพร่ในรูปของซีดีรอม หรือ e-Learning Online Learning
  • การเผยแพร่เป็น e-book โดยสำนักพิมพ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ
  • ต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองการเผยแพร่จากคณะกรรมการของสถาบันอุดมศึกษา คณะหรือสถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้น
  • การเผยแพร่ดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นไปอย่างกว้างขวางมากกว่าการใช้ในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเท่านั้น
  • กรณีที่ได้มีการพิจารณาประเมินคุณภาพของตำราแล้วไม่อยู่ในเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด การนำตำรานั้นไปแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมเนื้อหาในตำราเพื่อนำมาเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการครั้งใหม่สามารถกระทำได้แต่ให้มีการประเมินคุณภาพตำราที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขนั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการประเมินโดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (peer reviewer)

หนังสือ

  • งานวิชาการที่เกิดจากการค้นคว้าศึกษาความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างรอบด้านและลึกซึ้ง มีการวิเคราะห์สังเคราะห์และเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยมโนทัศน์หลักที่เป็นแกนกลางและมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กัน มีความละเอียดลึกซึ้ง ใช้ภาษาที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ ให้ทัศนะของผู้เขียนที่สร้างเสริมปัญญาความคิดและสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการให้แก่สาขาวิชานั้นๆ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
  • เนื้อหาสาระของหนังสือต้องมีความทันสมัยเมื่อพิจารณาถึงวันที่ผู้ขอยื่นเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ
  • เนื้อหาของหนังสือไม่จำเป็นต้องสอดคล้องหรือเป็นไปตามข้อกำหนดของหลักสูตรหรือของวิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตร และไม่จำเป็นต้องนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาใดวิชาหนึ่ง
  • หากผลงานทางวิชาการที่เคยเสนอเป็นเอกสารประกอบการสอนหรือเอกสารคำสอนไปแล้วจะนำมาเสนอเป็นหนังสือไม่ได้

รูปแบบ

1.เป็นรูปเล่มที่ประกอบด้วย คำนำ สารบัญ เนื้อหา การวิเคราะห์ การสรุป การอ้างอิงบรรณานุกรม และดัชนีค้นคำ ที่ทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์ อาจมีข้อมูล แผนภาพ ตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาประกอบด้วย ตามรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้

2.เป็นงานที่ นักวิชาการเขียนทั้งเล่ม  (authored book)  คือ เอกสารที่ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นทั้งเล่มโดยมีลักษณะ ดังนี้

  • มีความเป็นเอกภาพ
  • มีรากฐานทางวิชาการที่มั่นคง
  • ให้ทัศนะของผู้เขียนที่สร้างเสริมปัญญา ความคิด และสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการ

3. เป็นงานวิชาการบางบทหรือส่วนหนึ่งในหนังสือที่มีผู้เขียนหลายคน (book chapter) โดยมีลักษณะ

    • ต้องมีความเป็นเอกภาพของเนื้อหาวิชาการ ซึ่งผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจในสาระสำคัญนั้นได้โดยเบ็ดเสร็จในแต่ละบท
    • เป็นงานศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบมีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิทยาอันเป็นที่ยอมรับจนได้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการหรือนำไปประยุกต์ใช้ได้
    • กรณีที่ในแต่ละบทมีผู้เขียนหลายบทจะต้องระบุบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนอย่างชัดเจน

4.จำนวนบทที่นำมาแทนหนังสือ 1 เล่มต้องมีจำนวนอย่างน้อย 5 บท และมีจำนวนหน้ารวมกันแล้วไม่น้อยกว่า ๘๐ หน้า

  • เนื้อหาสาระของบทในหนังสือทั้ง ๕ บท จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกันและอยู่ในขอบข่ายสาขาวิชาที่เสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งนี้ อาจอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกันหรือหลายเล่มก็ได้
  • การประเมินคุณภาพจะต้องประเมินคุณภาพโดยรวมทั้งหมด

การเผยแพร่

เผยแพร่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้

  1. การเผยแพร่ด้วยวิธีการพิมพ์

2. การเผยแพร่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อาทิ การเผยแพร่ในรูปของซีดีรอม

3. การเผยแพร่เป็น e-book โดยสำนักพิมพ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ

4.  การเผยแพร่ดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นไปอย่างกว้างขวางมากกว่าการใช้ในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเท่านั้น

5. จำนวนพิมพ์เป็นดัชนีหนึ่งที่อาจแสดงการเผยแพร่อย่างกว้างขวางได้ แต่อาจใช้ดัชนีอื่นวัดความกว้างขวางในการเผยแพร่ได้เช่นกัน

6. กรณีที่ได้มีการพิจารณาประเมินคุณภาพของหนังสือแล้วไม่อยู่ในเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดการนำหนังสือนั้นไปแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมเนื้อหาในหนังสือเพื่อนำมาเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการครั้งใหม่สามารถกระทำได้แต่ให้มีการประเมินคุณภาพหนังสือที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการประเมินโดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ

หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องรีวิวที่มาจากหลากหลายสถาบัน

การจัดการความรู้ (UBS KM Blog): การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ด้วยนวัตกรรมดิจิทัล

การจัดการความรู้ (UBS KM Blog): การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ด้วยนวัตกรรมดิจิทัล

  1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SROI
  • SROI คืออะไร – SROI (Social Return on Investment) คือแนวทางการประเมินผลกระทบทางสังคมของโครงการโดยเปรียบเทียบผลตอบแทนทางสังคมที่ได้รับกับต้นทุนที่ลงทุนไป
  • ประวัติและพัฒนาการของ SROI – SROI เริ่มได้รับการพัฒนาในช่วงปี 2000 และมีการปรับปรุงแนวทางอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน
  • วัตถุประสงค์ของ SROI – เพื่อช่วยให้องค์กรและโครงการสามารถวัดผลกระทบทางสังคมได้อย่างเป็นระบบ และสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
  • หลักการพื้นฐานของ SROI – ประกอบด้วย 7 หลักการ เช่น การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การวัดผลการเปลี่ยนแปลง และความโปร่งใสในการประเมิน
  1. กระบวนการและขั้นตอนการประเมิน SROI
  • การกำหนดขอบเขตการประเมิน – ระบุวัตถุประสงค์ของโครงการและขอบเขตของผลกระทบที่ต้องการวิเคราะห์
  • การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย – ระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและวิเคราะห์ว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างไร
  • การสร้างแผนภูมิผลกระทบ (Impact Map) – แสดงความสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรที่ลงทุน กิจกรรม ผลลัพธ์ และผลกระทบ
  • การรวบรวมข้อมูล – ใช้วิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้น
  • การแปลงผลกระทบเป็นมูลค่าทางการเงิน – ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อกำหนดมูลค่าให้กับผลลัพธ์ที่ไม่มีราคาตลาด
  • การคำนวณอัตราส่วน SROI – เปรียบเทียบผลตอบแทนทางสังคมที่ได้รับกับต้นทุนที่ลงทุน
  • การสื่อสารและการนำเสนอผลการประเมิน – สร้างความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและใช้ผลลัพธ์ในการพัฒนาโครงการ
  1. แนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ SROI
  • แนวคิด “Theory of Change” – การออกแบบโครงการโดยเชื่อมโยงกิจกรรมกับผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น
  • Impact Pathway – เส้นทางของผลกระทบที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยนำเข้า (Input) ผลผลิต (Output) ผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact)
  • ตัวชี้วัดทางสังคมและเศรษฐกิจ – ใช้ในการติดตามผลการดำเนินงานและวัดความสำเร็จของโครงการ
  • การให้ค่าแทนทางการเงิน (Financial Proxies) – ใช้วิธีการกำหนดมูลค่าเงินให้กับผลลัพธ์ทางสังคมที่ไม่มีราคาตลาด
  1. นวัตกรรมดิจิทัลในการประเมิน SROI
  2. SROI Calculator – เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยในการคำนวณ SROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. Open Impact Data – การใช้ข้อมูลเปิดเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินผลกระทบ
  4. การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการเก็บข้อมูล – เช่น การใช้ระบบออนไลน์ในการรวบรวมความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  5. การใช้ AI และ Machine Learning – เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคม
  6. ระบบสนับสนุนการประเมิน SROI (sroi-unrn.org) – แพลตฟอร์มที่ช่วยให้การประเมินผลกระทบเป็นระบบและมีมาตรฐาน

แนวทางการนำไปใช้ประโยชน์ (8 ข้อ)

  1. การใช้ SROI ในการวิจัยและพัฒนาโครงการ
  2. การใช้ SROI ในงานวิจัยเชิงสังคม – สามารถช่วยให้นักวิจัยวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมของโครงการได้อย่างเป็นระบบ
  3. การใช้ SROI ในการขอทุนวิจัย – ช่วยให้นักวิจัยสามารถนำเสนอคุณค่าของโครงการให้ผู้สนับสนุนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
  4. การประยุกต์ใช้ SROI ในการบริหารองค์กรและนโยบาย
  5. การใช้ SROI ในการตัดสินใจขององค์กรไม่แสวงหากำไร – เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร
  6. การใช้ SROI ในภาครัฐและนโยบายสาธารณะ – ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนานโยบายที่ส่งผลกระทบทางสังคมสูงสุด
  7. การใช้ SROI ในการพัฒนาการศึกษาและการสอน
  8. การบูรณาการ SROI ในหลักสูตรการเรียนการสอน – ใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการเพื่อการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น
  9. การใช้ SROI ในการพัฒนาโครงการบริการวิชาการ – สามารถใช้ในการประเมินผลกระทบของโครงการที่ดำเนินการร่วมกับชุมชน
  10. การใช้ SROI ในภาคธุรกิจและการลงทุนเพื่อสังคม
  11. SROI ในธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) – ใช้เป็นเครื่องมือวัดผลกระทบของกิจการเพื่อสังคม
  12. SROI ในการดึงดูดนักลงทุนที่เน้นผลกระทบทางสังคม – ใช้ในการแสดงผลตอบแทนเชิงสังคมเพื่อดึงดูดการลงทุนที่ยั่งยืน

สรุป
SROI เป็นแนวทางที่ช่วยให้องค์กรสามารถวัดและประเมินผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงการหรือกิจกรรมที่ดำเนินการ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายภาคส่วน ทั้งในการวิจัย การบริหารองค์กร การพัฒนาการศึกษา และธุรกิจเพื่อสังคม นอกจากนี้ นวัตกรรมดิจิทัลยังช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ SROI ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

🔹 นักวิชาการสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับ SROI เพื่อพัฒนางานวิจัยและโครงการที่มีผลกระทบเชิงสังคมได้ดียิ่งขึ้น
🔹 องค์กรสามารถใช้ SROI ในการปรับปรุงกลยุทธ์และสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน
🔹 ภาครัฐสามารถนำแนวคิด SROI ไปใช้ในการออกแบบนโยบายที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ