Flow Chart การปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ (งานวีดีโอ)

การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษา การดำเนินงานด้านแผนกลยุทธ์

ตัวชี้วัดที่สนับสุนนการดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษา การดำเนินงานด้านแผนกลยุทธ์ รวมถึงแผนการดำเนินงานอื่นๆขององค์กร ดังนี้

  1. จำนวนโครงการทักษะในอนาคตที่จัด
  2. นักศึกษาที่สอบผ่านทักษะFuture skills ที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  3. นักศึกษาที่เข้ารับการทดสอบทั้งหมด
    ตารางสรุปผลการวิเคราะห์

    สภาพปัญหาในการดำเนินงาน

    แนวทางในการแก้ปัญหา

    ข้อเสนอแนะ

    1. ระบบการเก็บข้อมูลตาม KPI โครงการทักษะในอนาคต Future skills ยังไม่เป็นระบบ ทำให้ไม่มีข้อมูลที่จะรายงานต่องานแผนอย่างครบถ้วน นับโครงการพัฒนาศักยภาพ Excel เป็นโครงการหลัก แต่ผลการดำเนินงาน ยังไม่บรรลุ KPI 1. ตามแผนกลยุทธ์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2566-2570 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) กำหนดแผนปฏิบัติการ 1.1.7) แผนพัฒนานักศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นในอนาคต Future skills ดังนั้น โครงการพัฒนาทักษะใหม่เพื่อการทำงานในอนาคตของนักศึกษา เช่น

    1) IT Suport Professional Certificate หรือ
    2) Data Analytics Professional Certificate หรือ
    3) Digital Marketing & E-commerce Certificate หรือ

    4) Coding Certificate

    2. ในปีงบประมาณ 2568 งานวิชาการ จะดำเนินการปรับปรุงการเก็บข้อมูลตาม KPI ดังกล่าว ดังนี้

    2.1  ต้นปีงบประมาณ งานวิชาการ จะจัดทำแบบฟอร์มเพื่อสำรวจโครงการะดับปริญญาตรีให้มีสมรรถนะและทักษะที่จะเป็นในอนาคต Future skills ของงานวิชาการ หลักสูตร และงานพัฒนานักศึกษา เพื่อให้ทราบข้อมูลเบื้องต้น ประกอบด้วย
    – ชื่อโครงการ
    – ผู้รับผิดชอบโครงการ
    – ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ
    – กลุ่มเป้าหมาย และจำนวนเป้าหมาย
    – ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ
    2.2 เสนอข้อมูลจากการสำรวจตามข้อ 2.1 เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการฯ เพื่อรับทราบ
    2.3 ทุกวันจันทร์ที่ 2 ของเดือน งานวิชาการ จะส่งลิงค์แบบสำรวจให้หัวหน้าโครงการผู้รับผิดชอบโครงการนักศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นในอนาคต Future skills  ตอบข้อมูลผลการดำเนิน
    https://forms.gle/A7iTPWLmiUQHUs5PA
    2.4 รายงานการดำเนินงาน (ข้อมูลอัพเดท) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการฯ ในการประชุมเป็นประจำทุกเดือน
    2.5 นำข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจข้อ 2.3 รายงานต่องานแผนตามเวลาที่กำหนด

    2.งานวิชาการ ไม่ทราบว่าทุกหลักสูตรมีโครงการใดที่จัดอยู่โครงการทักษะในอนาคต Future skills  
       

การใช้โปรแกรมช่วยในการเลือกตัวอย่างแบบ MUS

KM โปรแกรมการเลือกตัวอย่าง

สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ได้พัฒนาโปรแกรมเลือกตัวอย่างในการสอบบัญชี (Audit Sampling) เพื่อให้ผู้สอบบัญชี และผู้ช่วยผู้สอบบัญชีนำไปใช้ในการทำงานสอบบัญชีเพื่อให้ลดเวลาในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ บุคลากรทางการศึกษายังสามารถใช้โปรแกรมดังกล่าวเพื่อสอนนักศึกษาให้สามารถใช้งานโปรแกรมดังกล่าวได้ และรองรับการทำงานด้านการสอบบัญชีในอนาคตได้ต่อไป

การเลือกตัวอย่างแบบ MUS (Monetary-unit Sapling)

วิธี MUS เป็นวิธีการที่ผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่นำมาใช้ในการกำหนดขนาดตัวอย่างสำหรับการตรวจสอบเนื้อหา สาระตอนสิ้นปี เนื่องจากทำให้ผู้สอบบัญชีสามารถตรวจสอบให้ได้จำนวนเงินสูง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจหลายรายการ

การกำหนดขนาดตัวอย่างโดยวิธี MUS มี 3 ขั้นตอน

  1. กำหนดประชากรที่ต้องการนำมาสุ่มทดสอบ เช่น หากต้องการสุ่มเลือกตัวอย่างเพื่อส่งหนังสือยืนยันยอดลูกหนี้การค้า ประชากรที่ต้องการนำมาสุ่มทดสอบ คือ รายการลูกหนี้การค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นงวด อย่างไรก็ตาม ประชากร ดังกล่าวต้องเป็นประชากรภายหลังจากที่ได้นำรายการที่มีมูลค่าสูง ๆ รายการที่สำคัญ และรายการที่ผิดปกติออกแล้ว (Key-items) เนื่องจาก รายการที่เป็น key-items นั้นจะมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชากรที่เหลือได้ และมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้สูงด้วยลักษณะของรายการ จึงทำให้รายการ key-items นั้นเป็นรายการที่ผู้สอบบัญชีจะเลือกเฉพาะเจาะจงเพื่อตรวจสอบเนื้อหาสาระอยู่แล้ว จึงไม่ควรรวมอยู่ในประชากรที่จะนำมาสุ่มทดสอบเพิ่มเติมอีก
  1. คำนวณช่วงการเลือกตัวอย่าง (Interval)

โดยที่ confidence factor จะเป็นค่าทางสถิติซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ RMM ที่ประเมินได้สำหรับแต่ละ account / assertion ที่เกี่ยวข้อง เช่น จากตัวอย่างข้างต้น หากผู้สอบบัญชีต้องการสุ่มเลือกตัวอย่างเพื่อส่งหนังสือยืนยันยอด ลูกหนี้การค้า ซึ่งเป็นวิธีการที่ตอบสนองเรื่องความมีอยู่จริง ผู้สอบบัญชีต้องพิจารณา confidence factor ที่ เหมาะสมกับ RMM ที่ประเมินได้ของ account – A/R และ assertion – Existence เป็นต้น

ตาราง confidence factor

* ระดับความมั่นใจที่ต้องการได้เพิ่มเติมจากการทำการตรวจสอบเนื้อหาสาระ

ที่มา: Exhibit 17.3-1 and 17.3-2 Guide to Using International Standards on Auditing in the Audits of Small-and Medium Sized Entities Volume 2 – Practical Guidance

จากตารางข้างต้น จะพบว่าหาก RMM ที่ประเมินได้อยู่ในระดับ “สูง” นั่นคือ ความเสี่ยงที่ accountและ assertion นั้นจะผิดมีโอกาสมาก ดังนั้น ระดับความมั่นใจที่ต้องการเพิ่มเติมก็ต้องสูงขึ้น เช่น 95% เป็นต้น ดังนั้น confidence factor ก็จะต้องสูงตามไปด้วย เช่น 3.0 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หาก RMM ที่ประเมินได้อยู่ในระดับ “ต่ำ” นั่นคือ ความเสี่ยงที่ accountและ assertion นั้นจะผิดมีโอกาสน้อย ดังนั้น ระดับความมั่นใจที่ต้องการเพิ่มเติมก็ลดลงได้ เช่น 65%-75% เป็นต้น ดังนั้น confidence factor ก็จะลดลงตามไปด้วย เช่น 1.1 – 1.4 เป็นต้น

  1. การคำนวณขนาดตัวอย่าง (Sample size)

การเลือกรายการมาทดสอบโดยวิธี MUS มี 3 ขั้นตอนดังนี้

  1. List รายการประชากรที่ต้องการสุ่มทดสอบโดยห้าม sort โดยเด็ดขาด และคำนวณจำนวนเงินสะสมของประชากรดังกล่าว
  2. กำหนดจุดเริ่มต้นของรายการแรกที่จะเลือก (start) โดยจุด start จะเป็นเลขใดก็ได้แต่ต้องไม่เกินช่วงการเลือก ตัวอย่าง (interval) ที่คำนวณได้ข้างต้น เช่น ถ้า interval คำนวณได้เท่ากับ 100 ดังนั้น จุด start จะต้องเป็นเลขที่ อยู่ระหว่าง 1 – 100 เป็นต้น และการเลือกจุด start ควรใช้การ random ตัวเลขขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดการ bias
  3. รายการที่จะถูกสุ่มเลือกมาทดสอบ คือ รายการที่มีจำนวนเงินสะสมตกอยู่ในช่วงการเลือกตัวอย่างสะสม

ตัวอย่าง: ขนาดตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากร = 6 รายการ ช่วงการเลือกตัวอย่าง 3,000 และจุดเริ่มต้น 1,200 (ไม่เกิน interval)

การประเมินผลการเลือกตัวอย่างโดยวิธี MUS มี 3 ขั้นตอน

  1. สืบสวนลักษณะและสาเหตุของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบ และประเมินผลกระทบที่อาจเป็นไปได้ต่อวัตถุประสงค์ของวิธีการตรวจสอบและเรื่องอื่น ๆ ที่ตรวจสอบ หากพิจารณาแล้วพบว่าการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบนั้นมีลักษณะเป็น “ข้อผิดพลาดที่มีในประชากร” (ไม่เป็น “รายการเดี่ยว – anomalous items” หรือ “รูปแบบ/ระบบ – pattern) ให้ผู้สอบบัญชีพิจารณาดังนี้
  2. หากรายการดังกล่าวเป็น “รายการหลัก” (key-items) ให้รวบรวมผลแตกต่างของรายการหลักทั้งหมดที่พบ
  3. หากรายการดังกล่าวเป็น “ตัวแทนประชากร” (Representative items) ให้ทำการประมาณการการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบ (Projected misstatements)
    1. คำนวณอัตราร้อยละของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบแต่ละรายการ
    2. หาผลรวมอัตราร้อยละของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงทั้งหมด
  • คำนวณหาอัตราร้อยละของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงเฉลี่ย โดยนำผลรวมอัตราร้อยละของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงทั้งหมดหารด้วยขนาดตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากร
  1. คำนวณหาประมาณการการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริง โดยนำอัตราร้อยละของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงเฉลี่ยคูณด้วยมูลค่าของประชากรที่นำมาสุ่มทดสอบ

ตัวอย่าง: ขนาดตัวอย่างที่ตัวแทนประชากร = 6 รายการ มูลค่าประชากรที่นำมาสุ่มทดสอบ = 18,000

  1. นำ “การแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ประมาณการได้” รวมกับ “ผลแตกต่างของรายการหลัก” เพื่อนำไปพิจารณาว่ามีผลกระทบต่องบการเงินอย่างมีสาระสำคัญหรือไม่ อย่างไร
  2. หากตัวอย่างที่เลือกมาทดสอบไม่ได้ให้หลักเกณฑ์ที่สมเหตุสมผลในการสรุปเกี่ยวกับประชากร
    1. ขอร้องให้ฝ่ายบริหารตรวจสอบ และขอให้แก้ไขปรับปรุงรายการตามความจำเป็น หรือ
    2. ปรับเปลี่ยนลักษณะ ระยะเวลาและขอบเขตการตรวจสอบ

การใช้โปรแกรมในการเลือกตัวอย่างนี้ มีวิธีการคำนวณเหมือนคำอธิบายข้างต้น แต่จะช่วยลดเวลาในการเลือกตัวอย่างลงได้อย่างมาก เนื่องจากโปรแกรมดังกล่าวสามารถสร้างหนังสือยืนยันยอดลูกหนี้การค้าให้กับผู้สอบบัญชีจากข้อมูลที่คำนวณได้อีกด้วย